การที่จะฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งนั้น เราต้องใช้มันบ่อยๆ แต่เนื่องจากเราอยู่ในประเทศไทย คนส่วนใหญ่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญ ถึงแม้ว่าเราจะหาโอกาสพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ยากในไทย แต่สำหรับการอ่านและเขียน เราขวนขวายด้วยตัวเองได้ ทุกๆครั้งที่อ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม ผมรู้สึกว่าผมได้อะไรเยอะมากมายจากมัน นอกจากจะได้คำศัพท์และรูปแบบประโยคใหม่ ยังทำให้เราคุ้นเคยกับมันมากจนถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องแปลเป็นไทยก่อนเพื่อประมวลผลในสมอง สมองสามารถรับรู้และประมวลผลจากภาษาอังกฤษได้เลย เพื่อสนับสนุนการอ่านและทำให้การเรียนรู้ของคนที่ต้องการเรียนนั้นง่ายขึ้น ผมเลยคิดโปรเจคนี้ขึ้นมา ผมจะแปลนวนิยายทั้งเรื่อง โดยแต่ละย่อหน้าจะมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยให้เปรียบเทียบกัน และใส่ข้อมูลเพิ่มเติมที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน นวนิยายเรื่องแรกที่จะแปล ผมเลือกอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ เพราะ 1) เป็นนิยายสำหรับเด็ก ภาษาไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป 2) คนที่มาติดตามเพจส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และ 3) เรื่องนี้ถูกเขียนมามากกว่า 100 กว่าปีก่อน ถือว่าเป็นผลงานของสาธารณชนแล้ว ไม่ติดลิขสิทธิ์ใดๆ
ถ้าหากสงสัยตรงไหนในเนื้อเรื่อง ให้ถามมาได้เลยนะครับ ขอให้สนุกกับการอ่านครับผม
Down the Rabbit-Hole
Alice was beginning to get very tired of sitting by her sister on the bank, and of having nothing to do[1]: once or twice she had peeped into the book her sister was reading, but it had no pictures or conversations in it, ‘and what is the use of a book,’ thought Alice ‘without pictures or conversations?’
ลงไปในหลุมกระต่ายอลิซเริ่มรู้สึกเบื่อๆกับการนั่งริมแม่น้ำข้างๆพี่สาวของเธอ ไม่มีอะไรให้ทำ มีครั้งสองครั้งที่เธอได้แอบดูหนังสือที่พี่เธอกำลังอ่านอยู่ แต่ในหนังสือไม่มีทั้งรูปภาพและบทสนทนา "แล้วหนังสือจะมีประโยชน์อะไร" อลิซคิด "ไม่มีทั้งรูปภาพและบทสนทนา"
-
อะไรคือ "and of having nothing to do" ?
"To be/get tired" แปลว่า "เริ่มเหนื่อยหรือเบื่อ"
เหนื่อยหรือเบื่ออะไร เราใช้ "of" เป็นคำเชื่อม
เช่น "I am tired of working" หมายถึง "ฉันเบื่อทำงาน"
ในที่นี้ อลิซเบื่ออยู่สองสิ่ง
1) การนั่งข้างๆพี่สาวเธอ (sitting by her sister on the bank)
2) (และ) การไม่มีอะไรทำ (having nothing to do)
จึงเป็นที่มาของการใช้ and แล้วตามด้วย of ใน "and of having nothing to do"
ซึ่งสามารถแตกประโยคให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นตามด้านล่าง
Alice was beginning to -> อลิซเริ่มที่จะ
get tired -> เหนื่อย
of sitting by her sister on the bank -> กับการนั่งข้างๆพี่สาวเธอ
and -> และ
of having nothing to do -> กับการไม่มีอะไรทำ
So she was considering in her own mind (as well as she could, for the hot day made her feel very sleepy and stupid), whether the pleasure of making a daisy-chain would be worth the trouble of getting up and picking the daisies, when suddenly a White Rabbit with pink eyes ran close by her.
เธอจึงคิดในใจ (เท่าที่เธอพอจะทำได้ เพราะวันที่ร้อนอบอ้าวทำให้เธอง่วงและมึนงง) ว่าความสนุกจากการได้ทำมงกุฎดอกไม้จะคุ้มกับการที่ต้องลุกขึ้นมาเก็บดอกเดซี่มั้ย ในขณะที่ ทันใดนั้นเอง เจ้ากระต่ายขาวตาสีชมพูวิ่งใกล้เธอ
There was nothing so very remarkable in that; nor did Alice think it so very much out of the way to hear the Rabbit say to itself, ‘Oh dear! Oh dear! I shall be late!’ (when she thought it over afterwards, it occurred to her that she ought to have wondered at this, but at the time it all seemed quite natural); but when the Rabbit actually took a watch out of its waistcoat-pocket, and looked at it, and then hurried on, Alice started to her feet, for it flashed across her mind that she had never before seen a rabbit with either a waistcoat-pocket, or a watch to take out of it, and burning with curiosity, she ran across the field after it, and fortunately was just in time to see it pop down a large rabbit-hole under the hedge.
ไม่มีอะไรที่พิเศษ และอลิซก็ไม่ได้คิดว่ามันน่าพิเศษ ที่จะได้ยินกระต่ายพูดกับตัวเอง "ไม่นะ! ไม่นะ! ฉันจะไปสาย" (ภายหลังเธอมาคิดได้ว่าเธอน่าจะประหลาดใจกับเรื่องนี้ แต่ในเวลานั้นมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ) ในขณะที่เจ้ากระตายหยิบนาฬิกาข้อมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท ดูที่นาฬิกา และรีบเร่ง อลิซได้ยืนขึ้น เพราะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอไม่เคยเห็นกระต่ายใส่เสื้อโค้ท และนาฬิกามาก่อน ความอยากรู้อยากเห็นจุดไฟให้กับเธอ เธอวิ่งข้ามสนามหญ้าตามเจ้ากระต่ายไป และยังโชคดีที่ทันเวลาเห็นมันลงหลุมใต้รั้วพอดี
In another moment down went Alice after it, never once considering how in the world she was to get out again.
อลิซตามกระต่ายลงไป ไม่ได้คิดเลยว่าเธอจะกลับขึ้นมายังไง
The rabbit-hole went straight on like a tunnel for some way, and then dipped suddenly down, so suddenly that Alice had not a moment to think about stopping herself before she found herself falling down a very deep well.
ในช่วงหนึ่งหลุมนั้นลาดตรงเหมือนกับอุโมงค์ แต่จู่ๆก็ดิ่งลึกลงไปอย่างกระทันหัน กระทันหันมากจนอลิซไม่มีเวลาคิดที่จะเบรคตัวเอง ก่อนที่จะพบว่าตัวเธอกำลังตกลงบ่อน้ำบาดาล
Either the well was very deep, or she fell very slowly, for she had plenty of time as she went down to look about her and to wonder what was going to happen next. First, she tried to look down and make out what she was coming to, but it was too dark to see anything; then she looked at the sides of the well, and noticed that they were filled with cupboards and book-shelves; here and there she saw maps and pictures hung upon pegs. She took down a jar from one of the shelves as she passed; it was labelled ‘ORANGE MARMALADE’, but to her great disappointment it was empty: she did not like to drop the jar for fear of killing somebody, so managed to put it into one of the cupboards as she fell past it.
ไม่บ่อน้ำลึกมากเธอก็ตกลงไปอย่างช้ามากๆ เพราะเธอมีเวลาเหลือเฟือที่จะมองสิ่งรอบๆตัวและครุ่นคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ในตอนแรก เธอมองแล้วพยายามจะรู้ให้ได้ว่าอะไรอยู่ข้างล่างนั่น แต่มันมืดเกินกว่าจะเห็นอะไร จากนั้นเธอมองที่ด้านข้างของบ่อ แล้วสังเกตเห็นตู้และชั้นหนังสือ เห็นแผนที่และรูปภาพแขวนไว้อยู่กับหมุดเต็มไปหมด เธอหยิบขวดโหลดมาจากชั้นวางของ มีฉลากเขียนว่า "แยมส้ม" แปะอยู่ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะภายในนั้นว่างเปล่า เธอยังไม่อยากฆ่าใครเลยไม่ได้ทิ้งขวดโหลลงไปข้างล่าง แต่เอาใส่ข้างในตู้ที่เธอร่วงผ่านแทน
‘Well!’ thought Alice to herself, ‘after such a fall as this, I shall think nothing of tumbling down stairs! How brave they’ll all think me at home! Why[1], I wouldn’t say anything about it, even if I fell off the top of the house!’ (Which was very likely true.)
"เอาล่ะ!" อลิซคิดในใจกับตัวเอง "หลังจากที่ตกลงมาขนาดนี้แล้ว ฉันจะไม่กลัวตกบันไดเลย คนที่บ้านจะคิดว่าฉันกล้าหาญขนาดไหน! แน่นอนล่ะ ฉันจะไม่บ่นซักคำ ถึงแม้จะตกลงมาจากบ้านก็เถอะ" (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง)
- Why ในที่นี้เป็นคำอุทาน(ภาษาอังกฤษสมัยก่อน) เป็นการเน้นว่าสิ่งที่จะพูดถัดไปเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
Down, down, down. Would the fall never come to an end! ‘I wonder how many miles I’ve fallen by this time?’ she said aloud. ‘I must be getting somewhere near the centre of the earth. Let me see: that would be four thousand miles down, I think—’ (for, you see, Alice had learnt several things of this sort in her lessons in the schoolroom, and though this was not a very good opportunity for showing off her knowledge, as there was no one to listen to her, still it was good practice to say it over) ‘—yes, that’s about the right distance—but then I wonder what Latitude or Longitude I’ve got to?’ (Alice had no idea what Latitude was, or Longitude either, but thought they were nice grand words to say.)
ลง ลง ลง เมื่อไหร่จะหยุดลงซักที! "ฉันกำลังสงสัยว่าฉันตกมากี่ไมล์แล้วนี่?" เธอพูดเสียงดัง "ฉันว่าฉันน่าจะอยู่แถวๆกึ่งกลางของแก่นโลกแล้วล่ะ ขอคิดก่อน นั่นก็คือมาได้ไกลสี่พันไมล์ ฉันว่านะ..." (คุณเห็นมั้ย อลิซเรียนรู้สิ่งพวกนี้มาจากที่โรงเรียน และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เวลาที่สมควรโชว์ความรู้ของเธอ เพราะไม่มีใครฟังอยู่ มันก็เป็นการพูดฝึกฝนที่ดี่ ) "...ใช่ ระยะทางถูกต้องแล้ว แต่ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้อยู่ละติจูดและลองจิจูดที่เท่าไหร่?" (อลิซไม่รู้หรอกว่าละติจูดและลองจิจูดคืออะไร แต่คิดว่าเป็นคำหรูหราที่น่าพูดดี)
Presently she began again. ‘I wonder if I shall fall right through the earth! How funny it’ll seem to come out among the people that walk with their heads downward! The Antipathies[1], I think—’ (she was rather glad there was no one listening, this time, as it didn’t sound at all the right word) ‘—but I shall have to ask them what the name of the country is, you know. Please, Ma’am, is this New Zealand or Australia?’ (and she tried to curtsey as she spoke—fancy curtseying as you’re falling through the air! Do you think you could manage it?) ‘And what an ignorant little girl she’ll think me for asking! No, it’ll never do to ask: perhaps I shall see it written up somewhere.’
ตอนนี้เธอเริ่ม(พูด)อีกแล้ว "ฉันสงหรณ์ว่าฉันกำลังจะร่วงทะลุโลก! จะตลกแค่ไหนถ้าฉันหลุดออกมาแล้วอยู่ท่ามกลางคนที่ใช้หัวเดิน! ความชิงชังนะ ฉันว่า..." (ครั้งนี้เธอรู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครฟังอยู่ เพราะมันฟังดูแปลกๆพิกล) "...แต่ฉันจะถามพวกเขาว่าที่นี่ประเทศอะไร อย่างที่คุณรู้ ขอโทษนะคะที่นี่นิวซีแลนด์หรือออสเตรเลีย?" (เธอพยายามถอนสายบัวในขณะที่กำลังร่วงอยู่กลางอากาศ!) แล้วเค้าจะคิดว่าฉันเป็นเด็กสาวที่โง่แค่ไหนกัน! ไม่ล่ะ ไม่ถามดีกว่า น่าจะมีชื่อประเทศเขียนไว้ซักที่ใดที่หนึ่ง
-
ความชิงชัง? แปลผิดรึเปล่า?
อลิซตั้งใจจะพูดคำว่า Antipodes ซึ่งหมายถึง จุดสองจุดที่อยู่ตรงข้ามซีกโลกกัน (เช่นประเทศสเปน และประเทศออสเตรเลีย) แต่ในเนื้อเรื่องคือ อลิซยังเป็นเด็กอยู่ และนึกคำไม่ออก เลยกลายเป็นได้คำว่า Antipathies มาแทน ซึ่งแปลว่าความชิงชัง
Down, down, down. There was nothing else to do, so Alice soon began talking again. ‘Dinah’ll miss me very much to-night, I should think!’ (Dinah was the cat.) ‘I hope they’ll remember her saucer of milk at tea-time. Dinah my dear! I wish you were down here with me! There are no mice in the air, I’m afraid, but you might catch a bat, and that’s very like a mouse, you know. But do cats eat bats, I wonder?’ And here Alice began to get rather sleepy, and went on saying to herself, in a dreamy sort of way, ‘Do cats eat bats? Do cats eat bats?’ and sometimes, ‘Do bats eat cats?’ for, you see, as she couldn’t answer either question, it didn’t much matter which way she put it. She felt that she was dozing off, and had just begun to dream that she was walking hand in hand with Dinah, and saying to her very earnestly, ‘Now, Dinah, tell me the truth: did you ever eat a bat?’ when suddenly, thump! thump! down she came upon a heap of sticks and dry leaves, and the fall was over.
ลง ลง ลง เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ อลิซเลยเริ่มพูดอีก "ดีน่าจะต้องคิดถึงฉันมากๆเลยคืนนี้ ฉันว่านะ!" (ดีน่าเป็นแมว) "ฉันหวังว่าพวกเขาจะไม่ลืมให้นมมันตอนช่วงเวลาดื่มชา ดีน่าที่รัก! ฉันล่ะอยากให้แกมาอยู่ที่นี่กับฉัน! ฉันเกรงว่าจะไม่มีหนูอยู่ในอากาศ แต่แกจับค้างคาวได้นะ และค้างคาวก็คล้ายๆกับหนูเลย แกก็รู้ แต่ว่าแมวกินค้างคาวรึเปล่า ฉันสงสัย?" ในขณะนี้อลิซเริ่มที่จะง่วง และได้พูดกับตัวเอง อย่างสลึมสลือ "แมวกินค้างคาวรึเปล่านะ? แมวกินค้างคาวรึเปล่านะ?" และในบางครั้ง "ค้างคาวกินแมวรึเปล่านะ?" เพราะว่า... คุณก็รู้ ...เธอไม่สามารถตอบได้ทั้งสองคำถาม มันเลยไม่สำคัญว่าเธอจะให้แมวขึ้นประโยคก่อนหรือค้างคาวขึ้นประโยคก่อน เธอรู้สึกว่าเธอได้งีบหลับลงไป และเริ่มฝันว่าเธอกำลังเดินจูงมือกับดีน่า พร้อมพูดกับดีน่าอย่างจริงจัง "เอาล่ะ ดีน่า บอกความจริงฉันมา แกเคยกินค้างคาวมั้ย?" ทันใดนั้นเอง ตึ้ม! ตึ้ม! ตึ้ม! เธอมาอยู่บนกองไม้และใบไม้แห้ง การตกได้สิ้นสุดลง
Alice was not a bit hurt, and she jumped up on to her feet in a moment: she looked up, but it was all dark overhead; before her was another long passage, and the White Rabbit was still in sight, hurrying down it. There was not a moment to be lost: away went Alice like the wind, and was just in time to hear it say, as it turned a corner, ‘Oh my ears and whiskers, how late it’s getting!’ She was close behind it when she turned the corner, but the Rabbit was no longer to be seen: she found herself in a long, low hall, which was lit up by a row of lamps hanging from the roof.
อลิซไม่เจ็บเลยซักนิด ชั่วครู่นึงเธอก็ลุกยืนขึ้นมา มองขึ้นไปบนแต่มันมืดมาก ตรงหน้าเธอมีทางยาวอีกทางหนึ่งทอดอยู่ และเจ้ากระต่ายขาวยังอยู่ในสายตา กำลังรีบเร่ง ไม่มีเวลาที่จะเสียแล้ว อลิซเคลื่อนไปราวกับลม และทันเวลาพอดีที่จะได้ยินมันพูด ตอนกำลังเลี้ยวตรงหัวมุม "โอ้หูและหนวดของฉัน นี่มันสายแค่ไหนนะ!" เธออยู่ใกล้มันมากตอนที่เธอเลี้ยวตาม แต่เจ้ากระต่ายกลับหายไปแล้ว เธอค้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงยาวไม่สูงนัก ซึ่งถูกทำให้สว่างด้วยแถวของโคมไฟที่แขวนมาจากหลังคา
There were doors all round the hall, but they were all locked; and when Alice had been all the way down one side and up the other, trying every door, she walked sadly down the middle, wondering how she was ever to get out again.
มีประตูอยู่เต็มห้องโถง แต่ทุกบานถูกล็อคหมด อลิซไปทั่วโถงจากสุดด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ลองทุกประตู เธอเดินอย่างเศร้าๆมาตรงกลาง สงสัยว่าเธอจะออกไปได้ยังไง
Suddenly she came upon a little three-legged table, all made of solid glass; there was nothing on it except a tiny golden key, and Alice’s first thought was that it might belong to one of the doors of the hall; but, alas! either the locks were too large, or the key was too small, but at any rate[1] it would not open any of them. However, on the second time round, she came upon a low curtain she had not noticed[2] before, and behind it was a little door about fifteen inches high: she tried the little golden key in the lock, and to her great delight it fitted!
ทันใดนั้นเธอก็เจอโต๊ะสามขาตัวเล็กๆ ถูกทำจากแก้วทั้งหมด ไม่มีอะไรอยู่บนโต๊ะยกเว้นกุญแจทอง ความคิดแรกของอลิซคือมันน่าจะเป็นกุญแจของประตูบานใดบานหนึ่งในห้อง แต่น่าเสียดาย! ไม่รูกุญแจใหญ่เกินไปกุญแจก็เล็กเกินไป ไม่ว่าจะทำยังไงกุญแจดอกนี้ก็ไขประตูไม่ได้ซักบาน อย่างไรก็ตาม ในการเดินวนรอบที่สอง เธอเจอผ้าม่านที่เธอไม่ได้สังเกตมาก่อน และข้างหลังมันคือประตูเล็กๆสูงประมาณ 15 นิ้ว เธอลองเสียบกุญแจเข้าไปในล็อค และดีใจอย่างมาก มันพอดี!
-
at any rate = ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
- จะเห็นได้ว่าประโยคนี้เป็น Past Perfect Tense (have/had + V.3) เพราะแสดงถึงอดีตที่เกิดก่อนหน้าอดีต
Alice opened the door and found that it led into a small passage[1], not much larger than a rat-hole: she knelt down and looked along the passage into the loveliest garden you ever saw. How[2] she longed[3] to get out of that dark hall, and wander about among those beds of bright flowers and those cool fountains, but she could not even get her head through the doorway; ‘and even if my head would go through,’ thought poor Alice, ‘it would be of very little use without my shoulders. Oh, how I wish I could shut up like a telescope![4] I think I could, if I only knew how to begin.’ For, you see, so many out-of-the-way things had happened lately, that Alice had begun to think that very few things indeed were really impossible.[5]
อลิซเปิดประตูมาแล้วค้นพบว่าข้างในเป็นทางแคบๆ ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ารูหนู เธอย่อเข่าลงและมองเข้าไปในนั้น สุดปลายทางคือสวนที่สวยที่สุดที่คุณเคยเห็นมา เธอปรารถนาที่จะออกไปจากห้องโถงมืดๆแห่งนั้น แล้วไปโลดแล่นท่ามกลางดอกไม้ที่ส่องสว่างกับน้ำพุเย็นสดชื่น แต่เธอเอาหัวเข้าประตูไม่ได้ "และถึงแม้ว่าหัวฉันจะผ่านเข้าไปได้" อลิซคิด "มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรถ้าหัวของฉันไม่มีไหล่ โอ้ ฉันล่ะอยากจะย่อส่วนได้เหมือนกล้องโทรทรรศน์จริงๆเลย ฉันคิดว่าฉันทำได้นะ ถ้าฉันรู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง" เพราะ... คุณจะเห็นได้ว่า ...สิ่งแปลกประหลาดหลายสิ่งได้เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ จนทำให้อลิซคิดว่าอะไรๆก็เป็นไปได้
- คำว่า small บางทีก็แปลเป็น "แคบ" ได้ และในทางกลับกัน คำว่า "แคบ" บางทีก็แปลเป็น small ได้
-
How ในที่นี้ไม่มีความหมาย เป็นภาษาอังกฤษสมัยก่อน ใช้เน้นย้ำประโยคที่จะพูดถัดไป
How ที่ใช้ในสมัยนี้แบ่งได้ 2 ประเภท
ประเภทแรก ใช้เป็นประโยคคำถาม เช่น How are you? คุณเป็นอย่างไรบ้าง
ประเภทสอง ใช้ในประโยคบอกเล่า เช่น I know how you are. ฉันรู้ว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง - long เมื่อเป็น verb แปลว่า ปรารถนา
- shut up ในที่นี้หมายถึง "ย่อส่วน", shut up like telescope คือ "ย่อส่วนเหมือนกล้องโทรทัศน์", เพราะว่ากล้องโทรทัศน์ในสมัยก่อนสามารถขยายได้เมื่อจะใช้งาน และหุบเก็บได้เมื่อเลิกใช้งาน
- very few things indeed were really impossible แปลว่า "น้อยสิ่งนักที่จะเป็นไปไม่ได้" แต่ผมเลือกที่จะแปลเป็น "อะไรๆก็เกิดขึ้นได้" เพราะฟังดูลื่นไหลกว่า
There seemed to be no use in waiting by the little door, so she went back to the table, half hoping she might find another key on it, or at any rate a book of rules for shutting people up like telescopes: this time she found a little bottle on it, (‘which certainly was not here before,’ said Alice,) and round the neck of the bottle was a paper label, with the words ‘DRINK ME’ beautifully printed on it in large letters.
ไม่มีความหมายอะไรที่จะรออยู่หน้าประตูเล็กๆบานนั้น เธอจึงกลับไปที่โต๊ะ ด้วยความหวังลึกๆว่าเธอจะเจอกุญแจอีกดอก หรือว่าจะเจอหนังสือสอนให้ย่อส่วนได้เหมือนกล้องโทรทัศน์ ครั้งนี้เธอเจอขวดเล็กๆอยู่บนโต๊ะ ("ซึ่งมันไม่ได้อยู่นี่ก่อนหน้านี้แน่นอน" อลิซพูด) และที่คอขวดมีกระดาษติดอยู่ ถูกเขียนไว้อย่างสวยงามว่า "ดื่มฉัน"
It was all very well to say ‘Drink me,’ but the wise little Alice was not going to do that in a hurry. ‘No, I’ll look first,’ she said, ‘and see whether it’s marked “poison” or not’; for she had read several nice little histories about children who had got burnt, and eaten up by wild beasts and other unpleasant things, all because they would not remember the simple rules their friends had taught them: such as, that a red-hot poker will burn you if you hold it too long; and that if you cut your finger very deeply with a knife, it usually bleeds; and she had never forgotten that, if you drink much from a bottle marked ‘poison,’ it is almost certain to disagree with you, sooner or later.
แต่ว่าอลิซตัวน้อยเจ้าปัญญายังไม่เร่งรีบที่จะดื่ม "ไม่ ฉันจะดูก่อน" อลิซพูด "และมองว่ามีตรงไหนมั้ยที่เขียนว่า 'ยาพิษ'" เพราะเธอได้อ่านหลากหลายเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหล่าเด็กๆที่ถูกขย้ำและกินโดยสัตว์ป่าและสิ่งไม่เป็นมิตรทั้งหลาย นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมจำกฎง่ายๆที่เพื่อนๆสอนมา อย่างเช่น ดอกเรด ฮ็อท โป๊กเกอร์จะทำให้ผิวหนังของคุณแสบร้อนถ้าคุณสัมผัสมันนานเกินไป หรือถ้าคุณตัดนิ้วของคุณด้วยมีด เลือดก็จะไหล และเธอก็ไม่เคยลืมเลย ถ้าคุณดื่มน้ำจากขวดที่เขียนว่า "ยาพิษ" มากเกินไป มันก็เกือบจะแน่นอนล่ะว่าสิ่งที่คุณดื่มจะต่อต้านตัวคุณ ไม่ช้าก็เร็ว
However, this bottle was not marked ‘poison,’ so Alice ventured to taste it, and finding it very nice, (it had, in fact, a sort of mixed flavour of cherry-tart, custard, pine-apple, roast turkey, toffee, and hot buttered toast,) she very soon finished it off.
อย่างไรก็ตาม ขวดนี้ไม่ได้ถูกเขียนว่า "ยาพิษ" อลิซจึงลองเสี่ยงชิมดู แล้วพบว่ามันอร่อยมาก (มันมี... ความจริงแล้ว ...รสชาติที่ผสมรวมอยู่ด้วยกันของทาร์ตเชอรี่ คัสตาร์ด สับปะรด ไก่ย่าง ท๊อฟฟี่ และขนมปังปิ้งเนยร้อน) อลิซดื่มหมดอย่างรวดเร็ว
‘What a curious feeling!’ said Alice; ‘I must be shutting up like a telescope.’
"ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด!" อลิซพูด "ฉันต้องกำลังย่อส่วนเหมือนกล้องโทรทัศน์อยู่แน่ๆ"
And so it was indeed: she was now only ten inches high, and her face brightened up at the thought that she was now the right size for going through the little door into that lovely garden. First, however, she waited for a few minutes to see if she was going to shrink any further: she felt a little nervous about this; ‘for it might end, you know,’ said Alice to herself, ‘in my going out altogether, like a candle. I wonder what I should be like then?’ And she tried to fancy what the flame of a candle is like after the candle is blown out, for she could not remember ever having seen such a thing.
และใช่จริงๆด้วย อลิซในตอนนี้สูงแค่ 10 นิ้ว สีหน้าของเธอดูสดชื่นขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่าตัวเธอสามารถผ่านเข้าประตูเล็กๆบานนั้นเพื่อไปที่สวนได้แล้ว ในตอนแรก... อย่างไรก็ตาม ...เธอรอสองสามนาทีเพื่อดูว่าขนาดตัวยังย่อลงอีกมั้ย เธอรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ "เพราะว่า... คุณก็รู้" อลิซพูดกับตัวเอง "ฉันอาจจะย่อจนหายไปเลยก็ได้ เหมือนกับเทียน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันสงสัยว่าตัวฉันจะเป็นยังไง" แล้วเธอก็พยายามจินตนาการถึงเปลวไฟของเทียนที่ถูกเป่าจนดับไปแล้วว่ามันเป็นยังไง เพราะเธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน
After a while, finding that nothing more happened, she decided on going into the garden at once; but, alas for poor Alice! when she got to the door, she found she had forgotten the little golden key, and when she went back to the table for it, she found she could not possibly reach it: she could see it quite plainly through the glass, and she tried her best to climb up one of the legs of the table, but it was too slippery; and when she had tired herself out with trying, the poor little thing sat down and cried.
หลังจากผ่านมาซักพัก เมื่อพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจึงตัดสินใจเดินไปสวนทันที แต่อลิซนั้นช่างน่าสงสาร พอมาถึงหน้าประตูเธอก็นึกได้ว่าลืมกุญแจเล็กๆสีทองไว้ และเมื่อเดินกลับไปที่โต๊ะ เธอก็เอื้อมไม่ถึงซะแล้ว เธอสามารถเห็นกุญแจผ่านแก้ว และได้พยายามปีนขาโต๊ะอย่างเต็มที่ แต่ว่ามันลื่นเกินไป จนกระทั่งเหนื่อยที่จะพยายามแล้ว เด็กน้อยผู้น่าสงสารเลยนั่งลงแล้วร้องไห้
‘Come, there’s no use in crying like that!’ said Alice to herself, rather sharply; ‘I advise you to leave off[1] this minute!’ She generally gave herself very good advice, (though she very seldom followed it), and sometimes she scolded herself so severely as to bring tears into her eyes[2]; and once she remembered trying to box her own ears for having cheated herself in a game of croquet[3] she was playing against herself, for this curious child was very fond of pretending to be two people. ‘But it’s no use now,’ thought poor Alice, ‘to pretend to be two people! Why, there’s hardly enough of me left to make one respectable person!’
"เอาน่า ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้อย่างนั้น!" อลิซคุยกับตัวเอง น้ำเสียงค่อยข้างดุ "ฉันขอให้เธอหยุดเดี๋ยวนี้!" โดยปกติเธอให้คำแนะนำตัวเองได้ดีมาก (ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยทำตามก็เถอะ) และในบางครั้งเธอก็ด่าตัวเองแรงมากจนน้ำตาไหลออกมา มีครั้งหนึ่งเธอจำได้ว่าเธอพยายามที่จะตบบ้องหูตัวเองเพราะเธอโกงตัวเองในกีฬาโครเกต์ที่แข่งกับตัวเอง เด็กอยากรู้อยากเห็นคนนี้ชอบที่จะแสดงเป็นคนสองคน "แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์แล้ว..." อลิซที่น่าสงสารคิดในใจ "...ที่จะแสดงเป็นคนสองคน! เพราะตอนนี้ในตัวฉันแทบจะไม่เหลือพอให้เป็นคนๆเดียวที่น่าเคารพอยู่แล้ว!"
- leave แปลว่า "ออกจาก" แต่ leave off แปลว่า "หยุด"
- หลายครั้งที่ประโยคภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมีความหมายเหมือนกัน แต่บอกด้วยวิธีต่างกัน ในภาษาไทยเราบอกว่า "น้ำตาไหลออกมา" แต่ในภาษาอังกฤษจะพูดกันว่า bring tears into eyes ซึ่งแปลตรงตัวได้เป็น "นำน้ำตาเข้ามาในตา"
- โครเกต์ เป็นกีฬาที่ผู้มีอันจะกินของอังกฤษนิยมเล่นกันในศตวรรษที่ 19
Soon her eye fell on a little glass box that was lying under the table: she opened it, and found in it a very small cake, on which the words ‘EAT ME’ were beautifully marked in currants. ‘Well, I’ll eat it,’ said Alice, ‘and if it makes me grow larger, I can reach the key; and if it makes me grow smaller, I can creep under the door; so either way I’ll get into the garden, and I don’t care which happens!’
ไม่นานตาเธอเหลือบไปเห็นกล่องแก้วเล็กๆใต้โต๊ะ เธอเปิดมันและพบเค้กชิ้นเล็ก บนเค้กมีคำว่า "กินฉัน" ถูกเขียนไว้อย่างสวยงามด้วยลูกเกด "เอาล่ะ ฉันจะกินมัน" อลิซพูด "และถ้ามันทำให้ฉันตัวใหญ่ขึ้น ฉันก็จะเอื้อมถึงกุญแจ หรือถ้ามันทำให้ฉันตัวเล็กลง ฉันก็จะลอดเข้าประตูได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉันจะเข้าไปในสวนนั้น และฉันไม่สนว่าจะทางไหน!"
She ate a little bit, and said anxiously to herself, ‘Which way? Which way?’, holding her hand on the top of her head to feel which way it was growing, and she was quite surprised to find that she remained the same size: to be sure, this generally happens when one eats cake, but Alice had got so much into the way of expecting nothing but out-of-the-way things to happen, that it seemed quite dull and stupid for life to go on in the common way.
เธอกินไปนิดหน่อย และพูดกับตัวเองอย่างกังวล "ทางไหน? ทางไหน?" พลางเอามือไปแตะไว้บนหัวเพื่อดูว่าตัวเองจะโตขึ้นหรือย่อส่วน แล้วรู้สึกแปลกใจว่าขนาดตัวของเธอยังไม่เปลี่ยน ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องปกติเมื่อคนๆหนึ่งกินเค้ก แต่อลิซนั้นคุ้นเคยกับการที่เรื่องแปลกประหลาดจะเกิดขึ้นไปแล้วซะจนเรื่องปกติดูน่าเบื่อและทึ่มเกินไป
So she set to work[1], and very soon finished off the cake.
เธอจึงเริ่มกินต่อ และกินหมดในไม่ช้า
- set to work แปลว่า "เริ่มทำ" (อะไรซักอย่าง) ในที่นี้คือ "เริ่มกินต่อ"
ภาพจาก: wikimedia
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น