การจัดการกับ Noun เอกพจน์
บทที่แล้วได้พูดถึงการเติม s หลัง Noun เมื่อ Noun นั้นเป็นพหูพจน์ (มีจำนวนมากกว่า 1)
ซึ่งหมายความว่า "ถ้าหาก Noun เป็นเอกพจน์ (มีจำนวนเท่ากับ 1) เราจะไม่เติม s"
แต่แค่ไม่เติม s ยังไม่เพียงพอสำหรับ Noun เอกพจน์ แต่เรายังต้องเติม a หรือ an ไว้ข้างหน้า Noun ตัวนั้นอีกด้วย
Article ในภาษาอังกฤษ
a หรือ an คือ Adjective ประเภทหนึ่งที่ไว้บอกลักษณะของคำนาม - Adjective ประเภทนี้เราเรียกมันว่า Article ('อาร์ติเคิล') ซึ่งมีอยู่เพียง 3 คำในภาษาอังกฤษ
1. a - ใช้นำหน้า Noun "เอกพจน์"จากด้านบนจะเห็นว่า the นั้นสามารถนำหน้าได้ทั้ง Noun เอกพจน์และพหูพจน์ เพราะฉะนั้นในตอนนี้เราจะสนใจแค่ a กับ an ก่อน
2. an - ใช้นำหน้า Noun "เอกพจน์"
3. the - ใช้นำหน้า Noun "เอกพจน์"หรือ"พหูพจน์"ก็ได้
ตอนไหนควรใส่ a ตอนไหนควรใส่ an ?
อย่างที่ได้กล่าวมา เมื่อ Noun เป็นเอกพจน์ เราจะใส่ a หรือ an ไว้ข้างหน้า Noun ตัวนั้น แต่ a หรือ an ก็ไว้นำหน้า Noun เอกพจน์ทั้งคู่ แล้วเราต้องใส่ a ตอนไหน หรือเราต้องใส่ an ตอนไหน กฎสำหรับการใส่ a และ an นั้นง่ายๆ ดังนี้
"ถ้าหากต้องอ่านออกเสียงขึ้นต้นด้วย อ.อ่าง ให้เราใส่ an นอกเหนือจากนั้น ให้เราใส่ a"
เพื่อให้เห็นภาพขึ้น ให้ดูตัวอย่างต่อไปนี้
cat อ่านว่า "แคท" เพราะฉะนั้นใส่ a เป็น a cat
apple อ่านว่า "แอปเปิล" เพราะฉะนั้นใส่ an เป็น an apple
orange อ่านว่า "ออเรนจ์" เพราะฉะนั้นใส่ an เป็น an orange
university อ่านว่า "ยูนิเวอร์ซิตี้" เพราะฉะนั้นใส่ a เป็น a university
hour อ่านว่า "อาวเวอร์" เพราะฉะนั้นใส่ an เป็น an hour
บางครั้ง Noun ในภาษาอังกฤษ ไม่ได้มาตัวเดียวเดี่ยวๆ แต่มันมาพร้อม Adjective ที่ไว้ขยายตัวมัน เช่น cat แปลว่า "แมว" แต่ big cat แปลว่า "แมวใหญ่" อย่างไรก็ตาม กฎนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ โดยเราอ่านออกเสียงขึ้นต้นด้วยอะไร ก็ให้เสียงนั้นเป็นตัววัดว่าจะเติม a หรือ an ในที่นี้ big cat อ่านว่า "บิ๊กแคท" ขึ้นต้นด้วย บ. จึงเติม a เป็น a big cat
ตัวอย่างเพิ่มเติม
question อ่านว่า "เควสชัน" แปลว่า "คำถาม" - ให้ใส่ a เพราะขึ้นต้นด้วย ค. ได้เป็น a question
easy question อ่านว่า "อีซี เควสชัน" - easy แปลว่า "ง่าย" - easy question จึงแปลว่า "คำถามง่ายๆ" ให้ใส่ an เพราะขึ้นต้นด้วย อ. ได้เป็น an easy question
difficult question อ่านว่า "ดิฟฟิคัลท์ เควสชัน" - difficult แปลว่า "ยาก" ให้ใส่ a เพราะขึ้นต้นด้วย ด. ได้เป็น a difficult question
red apple อ่านว่า "เรด แอปเปิล" - red แปลว่า "สีแดง" - red apple จึงแปลว่า "แอปเปิลสีแดง" ให้ใส่ a เพราะขึ้นต้นด้วย ร. ได้เป็น a red apple
สรุปสั้นๆก็คือ
เมื่อเจอ Noun ในภาษาอังกฤษ เราต้องคิดก่อนว่า Noun ตัวนี้เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ถ้าหากเป็นพหูพจน์ให้เติม s ตามที่ได้อธิบายในบทที่ 2 แต่ถ้าเป็นเอกพจน์ เราจะเติม a หรือ an
อย่างไรก็ตามเรายังไม่ได้พูดถึงการเติม the เพราะฉะนั้นถ้ามีเคสไหนที่เราต้องเติม the ด้านหน้า Noun เคสนั้นเราจะไม่เติม a หรือ an แล้ว
การไม่ใส่ Article และไม่เติม s กับ Noun ที่นับได้ ถือว่าผิด Grammar
ถ้าหาก Noun ตัวนั้นสามารถนับได้ว่ามีกี่ชิ้น (เช่น รถ 2 คัน, สมุด 3 เล่ม, บ้าน 4 หลัง) แต่ในประโยค เรากลับไม่ใส่ Article หรือไม่เติม s ไว้ด้านหลัง Noun นั้น จะถือว่าผิด Grammar เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยสำหรับคนไทย เพราะในภาษาไทยเราไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าสิ่งนั้นที่เราพูดอยู่นับได้หรือไม่ และถ้านับได้มันนับได้กี่ชิ้น
ตัวอย่าง ถ้าหากเราจะพูดว่า "ฉันอ่านหนังสือ" เราสามารถพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ 3 แบบนี้
I read a book. (มี a นำหน้า)
ฉันอ่านหนังสือ 1 เล่ม
I read the book. (มี the นำหน้า)
ฉันอ่านหนังสือ 1 เล่ม
I read books. (ถ้าไม่มี Article นำหน้า ก็จะเติม s)
ฉันอ่านหนังสือมากกว่า 1 เล่ม
แต่เราจะไม่พูดแบบนี้
I read book. (ไม่มี a หรือ the นำหน้า และไม่ได้เติม s)
แบบฝึกหัด
ให้เลือกว่าต้องเติม a หรือ an ด้านหน้า Noun ที่ให้มา
1. computer
2. zoo
3. uniform
4. honest man
5. chair
6. owl
7. eagle
8. umbrella
9. big umbrella
10. interesting umbrella
11. pen
12. honourable guest
13. union
14. dictionary
15. beautiful girl
เฉลย
1. a
2. a
3. a
4. an
5. a
6. an
7. an
8. an
9. a
10. an
11. a
12. an
13. a
14. a
15. a
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น